วันอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2561 ผมตัดสินใจเดินทางจากขอนแก่น ไปยังกรุงเทพ ด้วยเป้าหมายชีวิตด้านหนึ่งของผมคือ การเขียน ด้วยความหวังว่า จะไปหาประสบการณ์จากการเข้าสัมมนาเกี่ยวกับเรื่อง การเขียนคอนเท้นต์ ชื่อคอร์สว่า Creative Content Workshop
เกิดอะไรขึ้นก่อนไป
การตัดสินใจไปครั้งนี้ เป็นการตัดสินใจแบบปุ๊บปั๊บ แล้วไปเลย ไม่ต้องตัดสินใจอะไรมาก มีข้อมูลที่ช่วยสนับสนุนอยู่จำนวนหนึ่ง นั่นคือ ผมรู้จักวิทยากร เพราะเคยเห็นเขาออกมาสอนให้ฟรี และติดตามอยู่ในช่องไลน์แอด เช่น คุณเสกสรรค์ ปั้นยูทูป และพี่แมงปอ เพจสอนคณิตศาสตร์ที่มีคนกดไลค์มากมาย
พอเราเห็นประสบการณ์ของผู้สอนว่า เป็นคนทำเพจจริงๆ และทำเกี่ยวกับ การเขียนคอนเท้นต์ จริงๆ เราก็อุปมาได้ว่า ท่านวิทยากรเหล่านี้ จะต้องมีความเชี่ยวชาญอยู่มาก
คืนวันศุกร์ ผมติดต่อไลน์แอดไป และขอส่วนลดสำหรับไปสองคน เพราะผมจะพาภรรยาไปสัมมนาครั้งนี้ด้วย แล้วผมก็ได้รับคำตอบ แถมมีส่วนลดจริงๆ จากนั้นก็เช็คราคาตั๋วเครื่องบิน แต่ราคาตั๋วก็จะแพงหน่อย เพราะใกล้วันเต็มที
ผมตัดสินใจไม่ไปเครื่องบิน เพราะคิดว่าจะลองนั่งรถทัวร์นครชัยแอร์ไปดู รถออกประมาณ 5 ทุ่ม ก็ไปสว่างที่โน่น แล้วก็เข้า workshop เลย จะได้ไม่ต้องเสียค่าห้อง จากนั้นก็กลับเครื่องบิน ตอนประมาณ 2 ทุ่ม กลับมาถึงวันอาทิตย์ จะได้ไม่เหนื่อยมาก เพราะต้องไปทำงานอีกวันจันทร์ หากนั่งรถกลับ คงเหนื่อยแน่ๆ
ไปถึงตอนเช้ามืด ประมาณ ตี 5 เศษๆ ที่นครชัยแอร์ เดี๋ยวนี้เขามีบริการรถตู้ไปส่งที่ BTS ฟรีด้วย ดีจัง ผมกับภรรยาไม่ได้นั่งรถเฟิสท์คลาสของนครชัยแอร์มานานมากแล้ว บอกเลยว่า เขาพัฒนาไปมากจริงๆ แจกเป็นแจก ขนม น้ำ นม มีจอคอมเล็กๆ ด้านหน้า ดูหนัง ฟังเพลง เบาะปรับได้หลากหลายองศามากๆ และมีห้องน้ำที่สะอาดเปิดเพลงฟังในห้องน้ำได้ โอ้ววว!! เป็นอะไรที่เซอร์ไพรท์พอสมควรกับบริการดีๆ ที่ราคาต่ำกว่า 500 เราเดินทางต่อไปยังที่อบรม จริงๆ แล้ว เขาเริ่ม 9.30 น. แต่เรานั่งรถไฟฟ้าไปถึงเร็วเกินคาด ประมาณ 7.30 น. ก็ถึงแล้ว จากนั้นเราก็เข้าไปนั่งร้านกาแฟมวลชนที่อยู่หน้าโรงแรม i-residence ผมนั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กๆ จบไป 1 เล่มพอดี นั่งทานกาแฟมวลชนและขนมปังที่ได้จากรถทัวร์มา 555+ ประหยัดสุดๆ
การสัมมนากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
พอใกล้ 9.30 น. เราขึ้นลิฟท์ไปชั้น 10 เพื่อเข้าห้องสัมมนา เริ่มโดยคุณอำนวย ขึ้นสไลด์อธิบายทฤษฎีต่างๆ เกี่ยวกับการเขียน มีหลายประเด็นที่น่าสนใจ แต่ผมเขียนออกมาให้หมดไม่ได้ เดี่ยวจะว่าเป็นการสปอยล์คอร์สของเขาครับ เอาเป็นว่า ดีก็แล้วกันครับ เช่น ประโยคที่ว่า
คนจะฟังคุณ ก็ต่อเมื่อเขา “ชอบ” คุณ และคนจะทำธุรกิจกับคุณ ก็ต่อเมื่อเขา “เชื่อ” คุณ
หมายความว่า ถ้าเราอยากจะขายของ ถ้าเราอยากจะทำธุรกิจ ให้เราทำให้เขา ชอบ และ เชื่อ ในตัวเราก่อนเป็นอันดับแรก
คุณอำนวยเป็นวิทยากรที่สอนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์มาหลายปีแล้ว อยู่เบื้องหลังของเพจดังๆ หลายเพจ จึงเอาประสบการณ์ต่างๆ มาแชร์ให้ฟังครับ
อีกเรื่อง ที่ผมสะดุดใจ คือ เพจใดๆ เพจหนึ่งจะมีคนไลค์ คนแชร์ บางทีต้องอาศัยจังหวะ อาศัยบริบท บางอันเหมือนจะไม่ดัง แต่ดังเพราะคนแชร์กันเยอะ ทั้งนี้มันก็มีปัจจัยหลายๆ อย่างที่จะช่วยทำให้มันดังได้ คุณอำนวยยกตัวอย่างบางเพจขึ้นมา ด้วยตัวอักษรไม่กี่คำ แต่มีคนแชร์เยอะมากๆ แล้วทดลองเอาข้อความเดียวกันไปแชร์อีกเพจ กลับเงียบหายไป อย่างนี้ก็มี เพราะฉะนั้น น่าจะมีปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างพอสมควร แต่กระนั้นเราก็ควรจะทำไปเรื่อยๆ ทำให้มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ไม่ควรทำจับฉ่ายและหลากหลายรูปแบบเกินไป เช่น เราชอบ ถนัดแบบไหน ก็ควรทำแบบนั้น ไม่ควรฝืนไปทำที่ตัวเองไม่ถนัด เช่น ไม่ชอบ live สด ก็ไม่ต้องทำ เป็นต้น
เพราะคนที่ติดตามเพจของเรา “เราเลี้ยงอะไรเขามา เพจนั้นก็จะเติบโตจากสิ่งนั้น” ประเด็นนี้แหละที่ผมสนใจ
หมดช่วงเช้าไปกับทฤษฎีต่างๆ มีหลากหลายมาก เช่น ลูกค้ามีกี่แบบ กี่ประเภท คอนเท้นต์แบบไหนเหมาะกับลูกค้าแบบไหน อันนี้ผมอาจหลุดๆ ไปบ้าง เพราะสมาธิเสียแล้วครับ หิวข้าว เพราะตอนเช้าไม่ได้กินข้าวก่อนเข้าสัมมนา
คนที่เข้าร่วมฟังสัมมนา มีหลากหลายอาชีพมาก เท่าที่จำได้ คือ อสังหามือสอง ฟาร์มเห็ดออแกนิคส์ จำหน่ายรถโฟล์กลิฟต์ ขายของเด็กเล่น เพจแนวสร้างแรงบันดาลใจ ธุรกิจรับทำร้านอาหาร แก็ดเจท เครื่องเสียง ลำโพง ความงาม อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ เพจกวดวิชา สอบเข้า ก.พ. บอร์ดเกม ส่วนอันสุดท้าย ของผมคือ ขายแฟลชไดร์ฟ
ทุกคนล้วนมีเป้าหมายเดียวกันคือ การเขียนคอนเท้นต์ อยากเขียนให้ดี อยากเขียนแล้วคนอ่าน อยากเขียนแล้วมีคนติดตาม อยากเขียนแล้วขายได้ เหล่านี้ล้วนเป็นเป้าหมายของพวกเราครับ แต่ละคนจะได้กลับไปทบทวนคอร์สออนไลน์อีกที และเริ่มลงมือทำ หวังว่าเราจะได้เจอกันที่เป้าหมายนะครับ ผมก็เช่นกัน ผมจะทำเพจขายแฟลชไดร์ฟนี่แหละ ถามว่า ทำไมขายแฟลชไดร์ฟ?
ผมขายอะไร?
ตอนเริ่มเมื่อ 4-5 ปีที่แล้วก็ไม่ได้คิดอะไรมาก และมีคำถามมากมายเกิดขึ้นในหัว ว่า จะขายได้หรอ คนใช้อันเดียวแล้วก็ใช้ตลอด จะรับประกันอย่างไร โน้นนี่นั่น สารพัดปัญหา
แต่สุดท้าย เราก็ทุรักทุเล ดั้นด้น มาจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริงแล้ว การขา่ยผ่านเพจนั้นอาจไม่มีกระแสตอบรับเท่าไหร่ เพราะผมยังไม่ได้ทำจริงจังก็เป็นได้ เป็นแค่ช่องทางให้ถามรายละเอียด และสักแต่โพสต์ๆ ไปเป็นวันๆ ไม่มีเป้าหมายอะไรมากมายนัก แต่วันนี้รู้แล้วว่า เราต้องพยายามมากขึ้นไปอีก
ผมขายในเว็บไซต์เป็นหลัก แต่จะพยายามให้มีช่องทางเพจมากขึ้นด้วย พยายามหาฐานแฟนเพจให้มากยิ่งขึ้น เพื่อวันหนึ่งเขาอาจจะมาเป็นลูกค้าเราก็เป็นได้ นอกจากความรู้ที่เขียนบนเว็บเป็นบทความแล้ว ผมจะต้องพยายามเอาความรู้เหล่านั้นมาแปลง เพื่อให้ง่ายขึ้น เอามาใส่ไว้ในเพจด้วย เช่น ชุดภาพ วิดีโอ เป็นต้น สิ่งเหล่านี้คือแรงบันดาลใจที่เกิดจากคอร์สนี้ครับ
ก่อนจบช่วงเช้า มีน้องคนหนึ่งชื่อน้องใบตอง มาอธิบายการแต่งภาพด้วย Power Point โดยมีมุมมองว่าเราไม่จำเป็นต้องใช้ Photoshop ก็สามารถทำได้ แต่เราจะใส่ฟอนต์สวยๆ ในพื้นที่มองเห็นชัด การเน้นคำ เน้นข้อความ ก็ทำให้เปลี่ยนอารมณ์ความรู้สึกได้แล้ว เป็นเทคนิคหนึ่งที่น่าเอาไปใช้ดู ซึ่งวันนี้ผมก็จะลองเอาแบบง่ายๆ เลยเพื่อเขียนภาพประกอบบทความนี้จาก Power Point กันเลยครับ
เที่ยงแล้ว…ทานข้าวกัน
ถึงเวลาเที่ยงแล้ว เราก็ทานข้าวเที่ยงที่นั่นเลย กับข้าวอร่อยมากครับ ผมชอบน้ำพริกมากๆ กินกับลวกผักมอคโคลลี่อร่อยเข้ากันมากเลย
เรามาต่อที่ภาคบ่ายนะครับ เป็นช่วงของคุณ บิว อาชวีย์ ซึ่งเป็นเจ้าของเพจ “บิว บันดาลใจ” เจ้าบท เจ้ากลอนสร้างแรงบันดาลใจ เพราะจบมาทางการเขียนโดยเฉพาะ
สิ่งที่ผมจับใจความได้ คือ ปัญหาการเขียนของเรา ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะเขียนไม่ออก แต่เพราะเราไม่เขียน จริงๆ แล้วการเขียนก็เหมือนกันการพูด เราพูดอย่างไร เราก็เขียนมันออกมาอย่างนั้นเอง แต่คนติดที่ความกลัว มากกว่า กลัวว่าเขียนแล้วไม่ดี เขียนแล้วคนไม่อ่าน กลัวเขียนไม่ออก กลัวไม่มีเรื่องให้เขียน
แต่ผมพิสูจน์แล้วว่า แม้ว่าเราจะพูดไม่เก่ง แต่เราเขียนได้ เช่น ตัวผมเอง ไม่ได้เป็นคนพูดเก่งอะไรเลย แต่พอให้เขียน กลับเขียนได้มากกว่าพูด อย่างเช่น บทความนี้ที่ผมเขียนในบล็อก ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าจะเข่ียนอะไร
แต่ผมมีวิธีการ คือ เปิดบล็อกขึ้นมา แล้วเริ่มเขียนเลย คิดแนวคิดไว้คร่าวๆ แล้วก็พิมพ์ไปเรื่อยๆ เรื่องมันจะค่อยๆ หลุดมาเอง ติดตรงที่ผมไม่ได้ขยันเขียนทุกๆ วัน พอหายไปสักพัก ก็มาเริ่มใหม่ เป็นอย่างนี้บ่อยๆ จนแก้ยากเหลือเกิน ต่อไปนี้คงต้องขยันให้มากขึ้นซะแล้วละ การไปสัมมนาก็ช่วยปลุกไฟได้เยอะนะ
คุณบิว เป็นคนที่เก่งเรื่องการแต่งคำคล้องจองมาก แกเน้นที่ชื่อของบทความ ชื่อหนังสือ หรือพาดหัว เพราะเป็นสิ่งที่จะหยุดสายตาคนอ่านไว้ได้ คนสมัยนี้สมาธิสั้นมาก เราต้องให้เขาสนใจให้ได้ก่อนเป็นอันดับแรก การจะสร้างความสนใจก็ทำได้โดยการแต่งชื่อบทความให้น่าสนใจนี่แหละครับ เช่น เล่นคำ ใช้คำคล้องจอง เปรียบเทียบ อะไรพวกนี้ครับ ซึ่งผมก็เห็นด้วย และคิดว่าตัวเองทำได้ดีพอสมควรเลยละ แต่ยังไม่ได้พยายามดึงศักยภาพด้านนี้ออกมาใช้สักเท่าไหร่นัก
จากนี้ไปคงต้องพยายามให้มากขึ้นแล้วละ ใน workshop คุณ บิวให้แต่งสโลแกนให้สินค้าตัวเอง เนื่องจากเว็บไซต์ของผมชื่อว่า แฟลชไดร์ฟดีดี ผมจึงแต่งเอาไว้ว่า
แฟลชไดร์ฟดีดี นั้นหาได้ยาก แต่แฟลชไดร์ฟกากๆ หาได้ทั่วไป
555+ เป็นไงครับ มุกเสี่ยวของผม ติดตราตรึงใจไหมละครับ ไม่ได้คิดว่าจะเอาไปเป็นสโลแกนของเว็บไซต์นะครับ แต่จะว่าไปฝีมือก็พอไปวัดไปวากับเขาได้ละกัน คงต้องฝึกปรือกันอีกสักนิดสักหน่อย ก็คงจะได้ประโยคดีๆ เอาไว้ใช้อย่างแน่นอน
workshop ที่ประทับใจสุดๆ
workshop สุดท้าย มาจากพี่แมง ป. แห่งเพจ พี่ แมง ป. ที่ช่วยสอนการบ้านวิชาคณิตศาสตร์ให้เด็กๆ ครับ ผมคนหนึ่งที่สอนคณิตศาสตร์ รู้เลยว่า คนนี้ของจริง ครับ เป็นคนพูดรู้เรื่องมากๆ สอนแนวคิดแบบง่ายๆ เอาไปใช้ได้เลย และไลฟ์ไม่จำเป็นต้องเห็นหน้าด้วย แม้ว่าพี่แกจะหล่อ แต่ไม่ได้เอาหน้าตามาขาย 5555 แซวนะครับ
คือเป็นตั้งกล้องใส่กระดาษธรรมดาๆ แล้วเขียนเลย แต่ไม่รู้หรอกเบื้องหลังแกอาจจะเตรียมตัวมาดีมากๆ ด้วยเช่นกัน ไม่ใช่ว่าสักจะทำอะไรก็ทำไปมั่วๆ แบบนั้น คนไลค์คงไม่ได้เยอะเป็นเกือบ 5 แสนขนาดนี้
พี่แมง ป. ให้แนวคิดแบบง่าย สมชื่อเพจจริงๆ ครับ
1. ไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่ง แต่ให้เป็นที่พึ่ง
2. ดูแล้วรู้ว่าเราจะพาเขาไปที่ไหน
3. และสุดท้าย มีจุดขาย ไม่ใช่มีแต่จุดแข็ง
อธิบายอย่างนี้นะครับ คือ เราไม่จำเป็นต้องเป็นที่หนึ่งถึงจะสอนได้ ไม่จำเป็นต้องเก่งเลิศเลอ แค่เราเป็นที่พึ่งของเขาได้ ให้คำปรึกษาเขาได้ ช่วยเขาได้ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
สำหรับข้อ 2. คือ เราต้องบอกเขานิดหนึ่งว่า ถ้าดูคลิปแล้ว หรืออ่านโพสต์แล้ว เราจะพาเขาไปไหน พูดง่ายๆ คือ เขาจะได้อะไรจากการดูหรือเสพคอนเท้นต์ของเรานั่นเอง
ส่วนข้อ 3 อันนี้ พี่แมงปอ บอกว่าสำคัญมากๆ คือ จุดแข็งของสินค้าของเราอาจเหมือนๆ กัน แต่ประเด็นสำคัญคือ จุดขายของเรา มีอะไรดีกว่าคนอื่นๆ เขา เช่น สินค้าของผม เป็นแฟลชไดร์ฟ จุดแข็งคือ คุณภาพดี ของราคาถูก อันนี้มันมีเหมือนๆ คนอื่น แต่มีอะไรดีกว่าที่อื่น ๆ บ้าง ผมก็บอกว่า ของผมออกแบบผ่านเว็บไซต์ได้ ขณะที่เจ้าอื่นๆ ยังไม่มี เป็นต้น
และส่วนสุดท้าย คือ การคิดหัวข้อคอนเท้นต์อย่างไรให้ไม่ตัน พี่แมงปอบอกว่า หากคิดแต่คีย์เวิดเดียว นั้นเราก็จะไม่มีอะไรจะเขียน ให้เราแตก ออกเป็นหัวข้อ สัก 3 หัวข้อ แล้วแตกหัวข้อย่อยๆ ออกไปคล้ายทำ mind map ให้คีย์เวิด จากนั้น ก็นำคีย์เวิดย่อยๆ มาเขียนคอนเทนต์ สับเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปเรื่อยๆ เท่านี้เราก็จะมีคอนเท้นต์อย่างไม่มีที่สิ้นสุดแล้ว โดยใน workshop เราได้เราเอาตัวอย่างสินค้ามาลองเขียนคีย์เวิดด้วย ซึ่งกลุ่มของผมได้รับเกี่ยวกับ เพจ แรงบันดาลใจ วิทยากรบอกว่า เราคิดกว้างไป เราควรเจาะจงลงไปเลยว่าทำเพื่อใครให้ชัดเจน แต่สิ่งที่เราทำมันดูกว้างๆ ครอบคลุมช่วงอายุทั้งหมด ซึ่งเราควรปรับปรุงตรงนี้
สรุปสิ่งที่ได้จากการไปสัมมนา การเขียนคอนเท้นต์ ในครั้งนี้
การไปหาประสบการณ์ครั้งนี้ ผมได้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับ การเขียนคอนเท้นต์ และยังต้องเรียนรู้อีกหลายอย่างเช่นกัน สิ่งสำคัญคือการฝึกฝนและลงมือทำ จะต้องต่อเนื่อง ผมอาจจะไม่ได้มีเป้าหมายให้เพจโด่งดังอะไร แต่เป้าหมายของผมคือการทำคอนเทนต์ให้ดี ส่งมอบคอนเท้นต์ให้คนเห็น และเป็นประโยชน์ ซึ่งการไปสัมมนาครั้งนี้ ก็มีประโยชน์กับผมไม่น้อยเลยทีเดียว
สุดท้ายนี้ขอจบด้วยบทกลอนนี้นะครับ ที่ผมแต่งภาพจาก PPT และเอาแนวคิดจากคุณบิวมาใช้
Discover more from KruJakkrapong 's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.