ใช่สิ..มันก็แค่ 9 กิโล
หลายคนคงคิดว่า ก็แค่ 9 โลสินะ
แต่สำหรับผม มันยากนะ
การวิ่งแบบไม่หยุด แม้ว่าจะวิ่งแบบเหยาะ เอาเข้าจริง ผมทำได้ยากมากๆ เพราะผมมักจะจุกท้องเมื่อวิ่งไปแค่สักพักเท่านั้น
ผมพยายามมาเป็น ปีๆ เลยละ ครับ และไปวิ่งมินิมาแล้วด้วย แต่มินิ เพียง 11 กิโล ผมก็หยุดพักตั้งหลายครั้ง เพราะช่วงแรกวิ่งแบบไม่ระวังตัวเองเท่าไร ใส่เต็มที่ ก็เลยทั้งจุกท้อง ทั้งเหนื่อยแทบขาดใจ
ใครไม่เคยลองวิ่ง ไม่รู้หรอกครับ
การชนะใจตัวเองในการซ้อมวิ่ง มันยากมากกว่าอีก ยากมากๆ
ช่วงปีที่แล้ว ผมก็วิ่งแบบ วิ่งๆ หยุดๆ ผมหมายถึง การวิ่งแบบไม่สม่ำเสมอเท่าไรนัก บางช่วงก็ไปวิ่งทุกวัน แต่บางช่วงขาดแล้ว ขาดเลย หลายวันติดต่อกัน ก็ขี้เกียจ ผมชอบหาเหตุผลมาอ้างเสมอว่า วันนี้ไม่วิ่งก็ได้นะ..เพราะ…
มีหลายครั้ง เหตุผลเหล่านั้นมันก็ชนะผม แต่หลายครั้งผมก็ตัดสินใจใส่รองเท้าออกวิ่งได้
ผมมีเพื่อนๆ ร่วมวิ่งที่สระหนองโก เป็นพี่หม่อม พี่ตำรวจ เพื่อนทูน และมักจะไปกับอ๋อ (น้องที่ย้ายไปแก่นนครแล้ว)
บางช่วงชีวิตของผมก็ไปวิ่งทุกๆ วัน วันละประมาณ 5 รอบสระหนองโก 7 รอบ และ 10 รอบในช่วงที่ฟิตจัดๆนะ
ถ้าวิ่งได้ 10 รอบ นั่นหมายถึง ได้ประมาณ 7 กิโล และพวกเรามักจะวิ่งกันเร็วพอสมควร เพราะมีแต่ตัวท๊อปของวงการวิ่งทั้งนั้น โดยเฉพาะพี่หม่อม แม้เป็นผู้หญิง แต่วิ่งได้เก่ง และเร็วมากด้วย ผมนี่ขอยอมแพ้เลยครับ
หลายปีมานี่ยอมรับว่า กีฬาวิ่งเป็นอะไรที่ฮิตฮอตมาก โดยเฉพาะช่วงพีคสุดน่าจะเป็นพี่ตูนวิ่งจากใต้ ขึ้นเหนือสุดเป็นระยะกว่า 2000 กิโล หลายคนคงหันมาวิ่งจากแรงบันดาลใจนี้ด้วยเหมือนกัน
สำหรับผมได้เริ่มก่อนหน้านั้นแล้ว แต่วิ่งๆ หยุดๆ ไม่สม่ำเสมอ กะปิดกะปอยมาตลอดประมาณ 2 ปี
ตั้งเป้าให้ชัดเจนเรื่องวิ่ง
นับจากนี้ไป
คงต้องมีเป้าหมายเรื่องวิ่งให้ชัดเจนกว่านี้แล้วละ
ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า
จะวิ่งอย่างน้อย 1 ใน 3 ของทุกๆวัน เช่น ถ้าวันนี้วิ่งแล้ว อาจหยุดได้ แต่ห้ามเกิน 3 วัน เมื่อหยุด 2 วันแล้ว วันที่ 3 จะต้องไปวิ่งให้ได้
ถ้าวิ่งติดต่อกัน 2 วันแล้ว สามารถหยุดวิ่งได้ อีก 4 วันก็ได้ แต่ห้ามหยุดเกิน 6 วัน
ดังนั้น ผมจะสามารถวิ่งได้อย่างน้อย 1 ใน 3
คิดเป็นปีคือ วิ่งได้ 365/3 ประมาณ 120 วัน นั่นคืออย่างน้อยนะครับ เพราะถ้าวิ่งได้ถี่กว่า 1 ใน 3 เช่น วิ่ง 3 วันติดกัน ถือว่าได้กำไรครับ
พอคิดได้อย่างนี้ก็เริ่มวิ่งเลยครับ
จะเอากี่โลก็ค่อยตั้งเป้าไป สำหรับผม 3 รอบบึงแก่นนคร นี่คือเป้าหมายล่าสุด และผมก็ทำได้วันนี้นี่เอง
แบบไม่หยุดพัก วิ่งติดต่อกัน เป็นเวลาประมาณ 1 ชั่วโมง
อันที่จริงผมวิ่งได้มาสักระยะแล้ว ประมาณ 1 เดือนแล้วละ แต่ไม่ได้มีโอกาสจับเวลา และจับระยะทาง
ตัดสินใจติดตั้ง apps เพื่อจับเวลาการวิ่ง
วันนี้ก็เลยใช้โทรศัพท์จับลง apps และจับระยะทางและเวลาดู
ผลคือ 1 ชั่วโมง 9 กิโลครับ
สิ่งที่ผมค้นพบคือ ปกติผมจะวิ่งเฉยๆ แต่วันนี้มี apps ด้วย ก็เลยใส่หูฟัง และใส่โทรศัพท์ในที่คาดเอวที่เป็นกระเป๋า ซึ่งแฟนผมซื้อมาให้ แล้วผมก็ฟัง podcast ไปด้วย มันเจ๋งว่ะ เห็นคนอื่นๆ ทำกัน แต่ไม่รู้ว่าจะดีขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าเกะกะ จนชินที่จะไม่ใส่ แต่พอใส่แล้ว และฟัง podcast จาก เว็บ thestandard.co ฟังเรื่องการเงินของ the money coach ฟังได้ตั้ง 2 เรื่องแน่ะ ช่วยเซฟเวลาไปเยอะเลย เท่ากับว่าได้ออกกำลัง และได้ฟังเรื่องดีๆ ด้วย
กลับมาที่เรื่องวิ่งกันต่อครับ ปรับโหมดนิดหนึ่ง 555+
สำหรับคนที่ชำนาญแล้ว เขาทำได้สบายอยู่แล้ว แต่สำหรับคนเป็นภูมิแพ้อย่างผม ยิ่งเหนื่อยง่ายมาก อันนี้ทำได้ยากมากจริงๆ
ผมจะตั้งใจวิ่งต่อไปในปีนี้ แม้ว่าจะลงมินิมาราธอนไม่ทันแล้ว แต่ก็ไม่เสียใจ เพราะไม่ได้หวังวิ่งเพื่อเหรียญใดๆทั้งนั้น
อาจจะวิ่งเพื่อการกุศลบ้าง แต่เป้าหมายหลักคือการวิ่งเพื่อสุขภาพของตนเอง
เกิดอะไรขึ้นบ้างหลังจากวิ่ง
สิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายของผมมีอะไรบ้างนะหรอ หลังจากวิ่งมา
ผมสังเกตว่า ผมไม่ค่อยเป็นหวัดเหมือนแต่ก่อน เพราะผมเป็นภูมิแพ้ ทำให้เป็นหวัดง่ายมาก เหมือนจมูกมันจะตันตลอดเวลา
หลังจากวิ่งมาแล้ว 2 ปี อาการเหล่านั้นหายเลยครับ ไม่ต้องพึ่งยาใดๆ
นอนหลับง่ายมาก ๆ อันนี้ก็เกิดจากการวิ่งอีกเช่นกัน รู้สึกกระปี้กระเปร่าเวลาเราวิ่งหรือเหงื่อออกมากๆ
เอาแค่ว่าผมไม่เป็นหวัด ก็คุ้มแล้วครับ เพราะแต่ก่อนเวลาเป็นหวัดจากภูมิแพ้แล้ว มันหายยากมาก บางทีเป็นหลายเดือน ต้องมีขี้มูกตลอดเวลา มันรำคาญเอามากๆ
มีคนเคยบอกว่า การออกกำลังกาย ก็เหมือนการออมเงินวันละนิด ฟังตอนแรก มันยังไงว่ะ
แต่เขาอธิบายว่า ออกกำลังกายวันเดียวมันไม่เห็นผลหรอก มันต้องค่อยๆ ออก ไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลา มันถึงจะเห็นผลในระยะยาวได้
เหมือนการออมเงิน ทำวันนี้วันเดียว ก็ยังไม่เห็นผลอะไร หยุดกระปุกวันละนิด สะสมมากๆ ขึ้นเรื่อยๆ ออมน้อยบ้าง มากบ้าง แต่ต้องทำไปเรื่อยๆ มันจะไปเห็นผลก็ตอนสะสมไปเป็นปีๆ หรือหลายๆ ปีเลย
สองสิ่งนี้ก็เลยเหมือนกัน เมื่อฟังแล้วผมก็ เออ…ใช่ว่ะ
มันต้องการเวลาจริงๆ
สำหรับการวิ่งผมคงต้องสะสมให้มากกว่านี้ไปเรื่อยๆ วันนี้ได้ 9 กิโล วันหน้าก็อาจเพิ่มเป็น 10 เป็น 15 หรือ เป็น 20 กิโลก็ค่อยๆเป็นไป ต้องใจเย็น อาจจะหลายปี แต่ถ้าทำทุกๆ วันมันจะต้องถึงสักวันละครับ ต้องอาศัยความเพียร และเวลาเป็นตัวช่วยให้ประสบความสำเร็จนี้ไปให้ได้ครับ เอาใจช่วยผมหน่อยนะครับ สำหรับคนที่อ่านบทความนี้
Discover more from KruJakkrapong 's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.