PNI
Statistics ทำผลงาน คศ.2-3

การประเมินความต้องการจำเป็นด้วยวิธี Priority Needs Index (PNI)

บทนำ

การวิจัยและพัฒนาทางการศึกษาในปัจจุบันจำเป็นต้องอาศัยข้อมูลที่แม่นยำและเป็นระบบในการกำหนดความต้องการจำเป็น เพื่อให้การพัฒนาตอบสนองต่อปัญหาที่แท้จริงและมีประสิทธิภาพสูงสุด วิธีการประเมินความต้องการจำเป็นจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่นักวิจัยและนักพัฒนาต้องเข้าใจและนำไปประยุกต์ใช้

วิธีการประเมินความต้องการจำเป็น

1. วิธี Priority Needs Index (PNI)

PNI = (I – D) × I

วิธี PNI เป็นการเรียงลำดับความสำคัญของความต้องการจำเป็นโดยใช้หลักการนิยามความแตกต่างเช่นเดียวกับ Mean Difference Method (MDF) แต่ได้ปรับปรุงโดยการถ่วงน้ำหนักของผลต่างระหว่างค่าเฉลี่ยของ I (Importance – สภาพที่ควรจะเป็น) และ D (Degree of Success – สภาพที่เป็นจริง) ด้วยน้ำหนักความสำคัญของ I

2. วิธี Modified Priority Needs Index (PNImodified)

PNImodified = (I – D) / D

วิธี PNImodified เป็นสูตรที่ปรับปรุงจากสูตร PNI ดั้งเดิม โดยนงลักษณ์ วิรัชชัย และสุวิมล ว่องวาณิช พัฒนาขึ้น เป็นวิธีการหาค่าผลต่างของ (I – D) แล้วหารด้วยค่า D เพื่อควบคุมขนาดของความต้องการจำเป็นให้อยู่ในพิสัยที่ไม่มีช่วงกว้างมากเกินไป และให้ความหมายเชิงเปรียบเทียบเมื่อใช้ระดับของสภาพที่เป็นอยู่เป็นฐานในการคำนวณ

ตัวอย่างการประยุกต์ใช้

กรณีศึกษา: การพัฒนาหลักสูตรส่งเสริมสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู

จากการศึกษาพบว่าครูมีปัญหาในการวิจัยในชั้นเรียน นักวิจัยจึงต้องการพัฒนาหลักสูตรโดยการสำรวจความต้องการจำเป็นใน 7 ประเด็น ได้แก่:

  1. การระบุปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา
  2. การทบทวนวรรณกรรม
  3. นวัตกรรมทางการศึกษา
  4. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
  5. การวิเคราะห์ข้อมูล
  6. การสรุปผลการวิจัย
  7. การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

ผลการวิเคราะห์ด้วยวิธี PNI

จากการวิเคราะห์ด้วยวิธี PNI พบว่า:

อันดับความสำคัญ:

  1. นวัตกรรมทางการศึกษา (PNI = 11.24)
  2. การระบุปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (PNI = 5.80)
  3. การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (PNI = 5.44)
  4. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล (PNI = 5.37)
  5. การสรุปผลการวิจัย (PNI = 5.23)
  6. การวิเคราะห์ข้อมูล (PNI = 4.97)
  7. การทบทวนวรรณกรรม (PNI = 3.04)

ผลการวิเคราะห์ด้วยวิธี PNImodified

PNI

เมื่อวิเคราะห์ด้วยวิธี PNImodified พบว่าลำดับความสำคัญเปลี่ยนแปลงเป็น:

อันดับความสำคัญ:

  1. นวัตกรรมทางการศึกษา (PNImodified = 1.17)
  2. การวิเคราะห์ข้อมูล (PNImodified = 0.58)
  3. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล (PNImodified = 0.48)
  4. การสรุปผลการวิจัย (PNImodified = 0.45)
  5. การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน (PNImodified = 0.43)
  6. การระบุปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา (PNImodified = 0.42)
  7. การทบทวนวรรณกรรม (PNImodified = 0.40)

การตีความและการนำไปใช้

ข้อสังเกตสำคัญ

  1. ความแตกต่างของผลลัพธ์: การใช้สูตร PNI และ PNImodified ให้ผลการจัดลำดับความสำคัญที่แตกต่างกัน ทำให้นักวิจัยต้องพิจารณาเลือกใช้สูตรที่เหมาะสมกับบริบทการวิจัย
  2. ความสำคัญของนวัตกรรมทางการศึกษา: ทั้งสองวิธีให้ผลสอดคล้องกันว่า “นวัตกรรมทางการศึกษา” เป็นประเด็นที่มีความต้องการจำเป็นสูงสุด
  3. การให้น้ำหนักความสำคัญ: ผลการวิเคราะห์ช่วยให้นักวิจัยสามารถจัดสรรเวลาและทรัพยากรในการพัฒนาหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม

การประยุกต์ใช้ในการพัฒนา

จากผลการวิเคราะห์ นักวิจัยสามารถ:

  1. เลือกพัฒนาเฉพาะประเด็นสำคัญ: เน้นไปที่ประเด็นที่มีค่า PNI สูงสุด
  2. พัฒนาครบทุกประเด็น: โดยให้น้ำหนักความสำคัญตามค่า PNI ที่วิเคราะห์ได้
  3. จัดสรรเวลาฝึกอบรม: มากน้อยตามลำดับความสำคัญ
  4. ออกแบบเนื้อหาหลักสูตร: เน้นหนักในเรื่องที่มีความต้องการจำเป็นสูง

ข้อควรพิจารณาในการใช้งาน

ความสำคัญของการออกแบบการวิจัย

การสำรวจความต้องการจำเป็นจะให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้ต้องอาศัย:

  1. การออกแบบกลุ่มตัวอย่าง: ที่มีความเป็นตัวแทนที่ดีของประชากร
  2. การออกแบบเครื่องมือ: ที่มีคุณภาพตามหลักวิชาการ โดยใช้แบบสอบถามแบบ dual-response format
  3. การออกแบบการวิเคราะห์ข้อมูล: ที่ถูกต้องและเหมาะสม

ประโยชน์ของการใช้วิธี PNI

  1. ให้ข้อมูลที่ชัดเจน: เกี่ยวกับสภาพที่เป็นจริง สภาพที่ควรจะเป็น และความต้องการจำเป็น
  2. จัดลำดับความสำคัญ: ช่วยในการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
  3. แนวทางการพัฒนา: ให้ข้อมูลสำหรับการสร้างและพัฒนานวัตกรรมในระยะถัดไป

บทสรุป

วิธีการประเมินความต้องการจำเป็นด้วย PNI และ PNImodified เป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการสร้างฐานข้อมูลสำหรับการวิจัยและพัฒนา การเลือกใช้วิธีการที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับบริบทและวัตถุประสงค์ของการวิจัย ทั้งนี้ ความสำเร็จของการประเมินความต้องการจำเป็นขึ้นอยู่กับการออกแบบการวิจัยที่ดี การสร้างเครื่องมือที่มีคุณภาพ และการวิเคราะห์ข้อมูลที่ถูกต้อง เพื่อให้ได้สารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการสร้างและพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพ


ตัวอย่างข้อคำถาม

ข้อคำถามสำหรับการประเมินความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู

คำชี้แจง

แบบสอบถามนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาความต้องการจำเป็นในการพัฒนาสมรรถนะการวิจัยในชั้นเรียนของครู กรุณาให้คะแนนในแต่ละข้อโดยพิจารณา 2 มิติ ดังนี้:

มิติที่ 1: ความสำคัญ (สภาพที่ควรจะเป็น)
มิติที่ 2: สภาพปัจจุบัน (สภาพที่เป็นจริง)

เกณฑ์การให้คะแนน

  • 5 = มากที่สุด
  • 4 = มาก
  • 3 = ปานกลาง
  • 2 = น้อย
  • 1 = น้อยที่สุด

ส่วนที่ 1: ข้อมูลทั่วไป

  1. เพศ: □ ชาย □ หญิง
  2. อายุ: _____ ปี
  3. ประสบการณ์การสอน: _____ ปี
  4. วุฒิการศึกษา: □ ปริญญาตรี □ ปริญญาโท □ ปริญญาเอก
  5. สาขาวิชาเอก: _________________

ส่วนที่ 2: การประเมินความต้องการจำเป็น

1. การระบุปัญหาและวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
1.1 การสังเกตและบันทึกปัญหาที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนอย่างเป็นระบบ5 4 3 2 15 4 3 2 1
1.2 การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาจากหลากหลายมุมมอง5 4 3 2 15 4 3 2 1
1.3 การกำหนดปัญหาวิจัยที่ชัดเจนและสามารถแก้ไขได้5 4 3 2 15 4 3 2 1
1.4 การตั้งคำถามวิจัยที่สอดคล้องกับปัญหาที่ระบุ5 4 3 2 15 4 3 2 1

2. การทบทวนวรรณกรรม

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
2.1 การค้นหาข้อมูลและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง5 4 3 2 15 4 3 2 1
2.2 การประเมินความน่าเชื่อถือของแหล่งข้อมูล5 4 3 2 15 4 3 2 1
2.3 การสังเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งต่างๆ5 4 3 2 15 4 3 2 1
2.4 การเขียนบททบทวนวรรณกรรมอย่างเป็นระบบ5 4 3 2 15 4 3 2 1

3. นวัตกรรมทางการศึกษา

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
3.1 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นนวัตกรรม5 4 3 2 15 4 3 2 1
3.2 การใช้เทคโนโลยีเพื่อการเรียนการสอน5 4 3 2 15 4 3 2 1
3.3 การพัฒนาสื่อการเรียนการสอนที่สร้างสรรค์5 4 3 2 15 4 3 2 1
3.4 การประยุกต์ใช้วิธีการสอนที่หลากหลาย5 4 3 2 15 4 3 2 1
3.5 การปรับปรุงนวัตกรรมตามผลการประเมิน5 4 3 2 15 4 3 2 1

4. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
4.1 การสร้างแบบสอบถามที่มีคุณภาพ5 4 3 2 15 4 3 2 1
4.2 การออกแบบแบบสัมภาษณ์5 4 3 2 15 4 3 2 1
4.3 การพัฒนาแบบสังเกต5 4 3 2 15 4 3 2 1
4.4 การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์5 4 3 2 15 4 3 2 1
4.5 การตรวจสอบความตรงและความเชื่อมั่นของเครื่องมือ5 4 3 2 15 4 3 2 1

5. การวิเคราะห์ข้อมูล

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
5.1 การใช้สถิติพรรณนาในการวิเคราะห์ข้อมูล5 4 3 2 15 4 3 2 1
5.2 การใช้สถิติอนุมานอย่างเหมาะสม5 4 3 2 15 4 3 2 1
5.3 การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพ5 4 3 2 15 4 3 2 1
5.4 การใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ข้อมูล5 4 3 2 15 4 3 2 1
5.5 การตีความผลการวิเคราะห์อย่างถูกต้อง5 4 3 2 15 4 3 2 1

6. การสรุปผลการวิจัย

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
6.1 การสรุปผลการวิจัยที่สอดคล้องกับคำถามวิจัย5 4 3 2 15 4 3 2 1
6.2 การอภิปรายผลการวิจัยโดยเชื่อมโยงกับทฤษฎี5 4 3 2 15 4 3 2 1
6.3 การเสนอข้อเสนอแนะเชิงปฏิบัติ5 4 3 2 15 4 3 2 1
6.4 การระบุข้อจำกัดของการวิจัย5 4 3 2 15 4 3 2 1
6.5 การเสนอแนะแนวทางการวิจัยในอนาคต5 4 3 2 15 4 3 2 1

7. การเขียนรายงานการวิจัยในชั้นเรียน

ข้อคำถามความสำคัญ<br>(ควรจะเป็น)สภาพปัจจุบัน<br>(เป็นจริง)
7.1 การเขียนบทคัดย่อที่สื่อสารได้ชัดเจน5 4 3 2 15 4 3 2 1
7.2 การเขียนบทนำที่นำเข้าสู่ปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง5 4 3 2 15 4 3 2 1
7.3 การนำเสนอวิธีดำเนินการวิจัยอย่างละเอียด5 4 3 2 15 4 3 2 1
7.4 การนำเสนอผลการวิจัยด้วยตารางและกราฟ5 4 3 2 15 4 3 2 1
7.5 การอ้างอิงและจัดทำบรรณานุกรมตามรูปแบบมาตรฐาน5 4 3 2 15 4 3 2 1

ส่วนที่ 3: ข้อเสนอแนะเพิ่มเติม

  1. ท่านมีปัญหาหรือข้อจำกัดใดในการทำวิจัยในชั้นเรียน


  1. ท่านต้องการให้มีการพัฒนาด้านใดเป็นพิเศษ


  1. ข้อเสนอแนะอื่นๆ



ขอบคุณสำหรับความร่วมมือในการตอบแบบสอบถาม


หมายเหตุสำหรับผู้วิจัย

การคำนวณค่า PNI

PNI = (I - D) × I
โดย I = ค่าเฉลี่ยของความสำคัญ
     D = ค่าเฉลี่ยของสภาพปัจจุบัน

การคำนวณค่า PNImodified

PNImodified = (I - D) / D
โดย I = ค่าเฉลี่ยของความสำคัญ
     D = ค่าเฉลี่ยของสภาพปัจจุบัน

การแปลผล

ค่า PNI หรือ PNImodified ที่สูงกว่า แสดงถึงความต้องการจำเป็นที่มากกว่า และควรได้รับการพัฒนาเป็นอันดับแรก


Discover more from KruJakkrapong 's Blog

Subscribe to get the latest posts sent to your email.

Leave a Reply