การไปทริปในครั้งนี้ มีจุดประสงค์หลักเพื่อไปร่วมงานมุทิตาจิตให้กับคุณครูที่จะเกษียณอายุราชการ 2 คน นั่นคือ คุณครูเหลียง-อ.กฤษดา และ คุณครูแก้ว-พรรณิน คุณครูทั้งสองท่านเป็นครูคณิตศาสตร์อยู่ที่แก่นนครวิทยาลัย และกำลังจะเข้าเกษียณอายุราชการในไม่กี่เดือนข้างหน้านี้แล้ว
การไปทริปครั้งนี้ขอย้อนกลับไปที่การเลือกสถานที่ก่อนเป็นอันดับแรก มีการโหวตทาง google form ด้วยโดยน้องตั๊กและอุ้ย เป็นคนจัดทำฟอร์มและเป็นคนประสานงานเกือบจะทั้งหมดของทริปนี้ รวมทั้งการออกแบบธีมงานด้วย เพราะฉะนั้นคงต้องให้เครดิตกับทั้งสองคนว่าเก่งมากๆ ด้วยความชอบการท่องเที่ยวอยู่แล้วจึงทำให้ทั้งสองมีประสบการณ์เกี่ยวกับการท่องเที่ยวมาพอสมควรเลยละ
หลังจากการโหวตได้สถานที่ ได้วันเวลาเรียบร้อย ผ่านการนำเสนอในที่ประชุมหมวดอย่างน้อยก็ 2-3 ครั้ง เราก็ได้เวลาออกเดินทางในวันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม 2561
ผมเพิ่งย้ายมาที่นี่ใหม่ๆ อาจจะยังพรรณนาเกี่ยวกับเรื่องบางเรื่องได้ไม่ดีนัก หรืออาจจะเขียนผิดพลาดไปต้องขออภัยไว้ก่อนเด้อครับ
พวกเราออกเดินทางด้วยรถตู้ 3 คัน รถล้อหมุนประมาณตีห้าสิบห้านาที และผมโชคดีมาก เบาะ 3 ได้นั่งถึง 4 คน แม้จะคับแคบไปนิดหน่อย แต่ก็สนุกดี ถือว่าเป็นรสชาติอีกแบบที่หาได้ยากยิ่ง เพราะการได้นั่งเบียดกันแบบนี้ ผมเคยชินตอนเรียนมหาลัยแล้วกลับบ้านที่สกลนคร ช่วงเทศกาลยิ่งหนักกว่านี้หลายเท่านัก ได้นั่งไป นอนหลับไป คุยกันไป หัวเราะกับมุขตลกขำขันของพี่ตั้ม ทุกอย่างก็เริ่มเข้าที่เข้าทางไปของมันเอง
รถตู้คันที่ผมนั่งเป็นวัยรุ่นขับ เพราะฉะนั้น คงเดาได้ไม่ยากว่าเขาขับแบบไหน อาจจะฉวาดเฉวียนไปนิด แต่ก็ต้องมองบวกว่าเขาคงมีประสบการณ์ในการขับมาอย่างดีแล้ว หลายครั้งก็แอบมองที่กระจกมองหลังของเขา ดูใบหน้าเขาก็กลัวว่าเขาจะหลับในอยู่เหมือนกัน แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ดี จนทำให้ผมได้มาเขียนบล็อกตอนนี้ก็ถือว่ากลับมาถึงโดยสวัสดิภาพแล้ว ต้องขอบคุณโชเฟอร์จากใจนะครับ
เคยมีคนกล่าวว่า การเดินทาง เราอย่ามองที่ปลายทางอย่างเดียว ให้เรามีความสุขตอนเดินทางไปด้วย อันนี้จริงครับ เพราะระหว่างที่เราเดินทาง เราก็มีคนเล่าเรื่องต่างๆ ให้ฟัง เป็นมุขขำๆ สนุกๆ นิทานก้อมก็หลายเรื่อง ประสบการณ์คนโน้น คนนี้ ปะปนกันไป เจออะไรข้างทางก็ทัก ชวนกันให้ดูและหาเรื่องมาเล่า มาโยงใส่ ทำให้บรรยากาศในรถเป็นไปอย่างสนุกสนาน เป็นการเดินทางที่มีความสุขไปจนสุดทางจริงๆ
เราแวะที่เที่ยวที่แรก คือ ทุ่งดอกไม้เบญจมาศ ชื่อว่า บิ๊กเต้ (Big Tae) มีค่าบัตรเข้าชมคนละ 20 บาท เพื่อไปชมแปลงดอกเบญจมาศ แต่วันนี้เราไปถึงค่อนข้างสายแดดจึงร้อน และต้องเดินทางลงไปประมาณ 400 เมตรเป็นเนินเชิงเขา เพื่อไปดูสวนดอกเบญจมาศ เท่าที่ผมรู้และค้นดูข้อมูลนิดหน่อย คือ เบญจมาศจะเป็นพืชล้มลุกมีอายุประมาณ 3 เดือน จากนั้นก็จะโรยราไป เจ้าของแปลงต้องปลูกรุ่นใหม่ที่แปลงใหม่มาทดแทน และเปิดเข้าชมเป็นช่วงๆ ไปครับ สังเกตว่า เขารดน้ำเยอะมากๆ และมีพลาสติกใสกั้นด้านบน แสงแดดส่องจะได้ส่องไม่เต็มที่และอีกอย่างพี่ตั้มบอกว่าจะได้กันน้ำค้างได้ด้วย
ผมเดินชมดอกเบญจมาศที่มีหลากสีสัน แต่ที่ชอบจะเป็นสีเหลือง คณะครูก็เพลิดเพลินไปกับการถ่ายรูปเป็นหลัก ครูผู้หญิงน่าจะชอบ และที่สวนแห่งนี้ คณะเราได้ดอกไม้ไปใช้ในงานวันเกษียณด้วยละครับ
หลังจากเดินชมสวนแล้ว ผมก็เดินไปรอคณะที่ซุ้มอาหาร และกาแฟ มีผักหลากชนิดให้เราเลือกซื้อกลับบ้านด้วย เป็นผักปลอดสารพิษที่ชาวบ้านแถวนั้นปลูกเอง พี่แป๋มซื้อละมุดมาใหทานด้วยนะครับ เรานั่งพักและพูดคุยกันไม่นานนัก คณะก็ตามมาเพื่อขึ้นรถต่อไป
ขากลับออกมาจากสวน Big tae รถตู้ของพวกเรา อาจจะใจร้อนไปหน่อย ก็เลยไปทางลัด สุดท้ายไปสุดซอยตัน ต้องกลับมาทางเดิมและด้นไปจนสุดเห็นทางรถไฟค่อยโล่งใจหน่อย ต่างคน ต่างก็ลุ้นอยู่ว่า รถตู้พวกเราจะหาทางออกได้ไหม ก็เป็นอีกหนึ่งรสชาติของการผจญภัยครับ
ตอนนี้ก็เกือบเที่ยงแล้ว พวกเราเริ่มหิวกันแล้ว รถตู้พาไปจอดกินข้าวที่ปาลิโอ ชื่อออกจะหรูหน่อย แต่ยอมรับว่าพวกเราเดินหาส้มตำไก่ย่าง พร้อมสะพายกระติ๊บข้าวไปด้วย แต่ก็พลาดเพราะปิ้งไก่ยังไม่สุก เราจึงเดินกลับมาที่ตลาดเล็กๆแห่งหนึ่ง ต่างคน ต่างก็ตาลายแล้วตอนนั้น เจอไก่ทอด พี่อุเทนซื้อไก่ทอดร้อนๆ มากินกับข้าวเหนียว รสชาติไก่อร่อยมาก หลังจากอิ่มท้องเราก็ตามด้วยมะพร้าวปั่นอีกคนละแก้ว คราวนี้แน่นจนจุกเลยครับ
สถานีต่อไปคือ น้ำตกเหวสุวัต ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ซึ่งอุทยานแห่งนี้ถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกทางธรรมชาติจากยูเนสโกแล้ว แต่ปัจจุบันมีการลักลอบตัดไม้พะยูงเป็นจำนวนมากทำให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกตัดออกได้เช่นกันครับ
บรรยากาศของน้ำตก แม้ว่าพวกเราไม่ได้ลงเล่นน้ำ แต่เท่าที่สัมผัสกับน้ำบริเวณเหนือน้ำตกแล้ว น้ำใสเย็นดีมาก บริเวณด้านล่างต้องเดินลงไปไกลพอสมควร ผมจึงได้แค่ถ่ายรูปไว้สักภาพจากตรงนี้ครับ นอกจากนี้ยังมีฝูงปลามาแวกว่ายน้ำเล่นบริเวณนี้เยอะมาก มองไปที่ในป่าจะเห็นฝูงลิงจำนวนหนึ่งกำลังเกาะอยู่ตามต้นไม้ เป็นดัชนีชี้ให้เห็นความอุดมสมบูรณ์อยู่พอสมควร
พวกเราใช้เวลาถ่ายรูปทั้งหมู่ และเดี่ยวอยู่ที่นี่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็เดินทางไปต่อ คราวนี้ก็เดินทางยาวเลย เพื่อไปยังที่พักของพวกเรา ไปถึงรีสอร์ท บ้านสวนแก้ว V&K ประมาณ 1 ทุ่มพอจัดแจงข้าวของเสร็จก็เริ่มงานมุทิตาจิตกันเลย รับประทานอาหารเย็นที่ทางรีสอร์ทจัดเสริฟเป็นโต๊ะจีนครับ
เริ่มงานมุทิตาจิตด้วยการเปิดพรีเซ็นเตชันของผู้เกษียณทั้งสอง หัวหน้ากลุ่มสาระฯ พี่อุเทน มอบดอกไม้แล้ว กล่าวความรู้สึก จากนั้นผู้เกษียณกล่าวความในใจ เป็นอันเสร็จพิธี หลังจากนั้นก็มีการร้องเพลงคาราโอเกะอย่างสนุกสนาน เป็นบรรยากาศที่ทุกคนได้ร่วมสนุกด้วยเสียงเพลงสนุกๆ และท่าเต้นต่างๆ ตลอดหลายชั่วโมงจนกระทั่งหมดเวลา พวกเราก็ร้องเพลงมอบดอกไม้ให้ผู้เกษียณ น้องๆแต่ละคนเดินเข้ากอด มอบดอกไม้ พูดความในใจกับผู้เกษียณ งานก็จบลงอย่างแฮปปี้ สุขใจทั้งผู้จัดและผู้รับกันเลยทีเดียว
งานเลี้ยงจบ แต่พวกเราไม่ยอมจบ เพราะพวกเรากลุ่มหนึ่งจัดแจงอาหารมาทำกินต่อกันคืนนี้ยาวๆ มีเนื้อวัวหมัก ไก่บ้าน ไส้หมูหมัก พวกเราขอยืมมีดและเขียง เตาปิ้งย่างจากรีสอร์ท บ้านพักของพวกเราเป็นหลังสุดท้าย พวกเราเริ่มก่อไฟ และทำน้ำจิ้มปิ้งย่าง ขับร้องเพลงกับเสียงกีตาร์ของน้องอ๋อ นั่งชมดาว พูดคุยกันอย่างสนุกสนาน เป็นบรรยากาศที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ จนกระทั่งดึกพอสมควรพวกเราก็แยกย้ายกันไปนอนพักผ่อน
ตื่นเช้าเก็บข้าวของ ที่เตรียมมาประกอบอาหารเมื่อคืนเสร็จ เราก็เดินไปกินข้าวต้มที่รีสอร์ทเตรียมไว้ให้เป็นอาหารเช้า และเดินทางกลับกัน ขาออกมาได้แวะซื้อของที่ตลาดไทยสามัคคี ผมซื้ออะโวคาโด ผักฟักแม้ว และสตอเบอรี่ (รู้ทีหลังมียัดไส้ใส่ลูกที่เสียให้มาด้วย เซ็งเลย)
เราเดินทางต่อมาจนถึงไร่ จิม ทอมสัน เป็นฟาร์มมีเนื้อที่ใหญ่มาก จนต้องนั่งรถรางไปชมแต่ละสถานี ผมเคยมาแล้วเมื่อหลายปีก่อน แต่ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว จำได้แค่ทิวต้นสนที่ไปถ่ายรูปกันตอนนั้น มาครั้งนี้ผมเลยอยากจะย้ำเตือนความทรงจำของตัวเองว่าเคยมาที่นี่อีกครั้งนะจากการบันทึกบล็อกไว้ในครั้งนี้ละ
ที่ฟาร์มแห่งนี้ ปีนี้เขาจัดในธีมงาน “แซบ นัว หัว ม่วน” มีอาหารอีสานให้ชิม มีสวนดอกไม้นานาพรรณ ดอกทานตะวัน ทุ่งคอสมอส (สีชมพูสวยมาก) การแสดงดนตรีวิถีอีสาน การเล่นวงโปงลาง ร้องหมอลำ มีการแสดงสาธิตการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม ซึ่งที่นี่เด่นเรื่องการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเป็นหลักอยู่แล้ว มีจุดถ่ายรูปมากมาย ได้เข้ามาชมแล้วก็คิดถึงวิถีอีสานสมัยเก่าๆ เห็นบ้านทรงอีสานแล้วคิดถึงปู่ ย่า ตายาย ลักษณะบ้านจะมีใต้ถุนโล่ง ด้านบนมีชานยื่นออกมา มีคอกวัว คอกควาย มีเล้าข้าว ผมเดินชมบรรยากาศเก่าๆ แล้วมีความสุขมาก ทำให้ย้อนคิดถึงวิถีของคนสมัยเก่าที่เขาสืบทอดกันมากตั้งแต่ยุคไหนๆ เขาอยู่กันอย่างนี้ ไม่จำเป็นต้องมีสิ่งของจำเป็นมากมาย อยู่กับไร่ ท้องนา หาปู ปลา แต่วิถีชีวิตแบบนั้นนับวันก็ค่อยๆ เลือนหายไปเสียแล้ว
ผมนั่งรถรางมาจอดสถานีสุดท้าย คือ ตลาดจิม มีสินค้าให้เลือกมากมาย ผมซื้อชาใบหม่อนจากที่นี่มาถุงหนึ่ง ชิมดูรสชาติแล้วใช้ได้มีกลิ่นหอมดี ได้มาชงนั่งจิบที่โต๊ะคงจะดีไม่น้อย เลยจัดไป
เรามากินข้าวที่ทางออกไร่จิมสถานีแรก ผมกินก๋วยจั๊บ รสชาติไม่ได้แย่มาก แต่ก็ไม่ได้อร่อยเลิศ พอกินได้ครับ
เมื่อขึ้นรถตู้เสร็จ คราวนี้คงนั่งยาวๆ ไป ระหว่างทาง เกือบจะถึงบ้าน พี่โป้งชวนลุ้นล็อตเตอรี่ เพราะแกชวนซื้อด้วยกันที่ปั๊ม ปตท.แห่งหนึ่ง ได้เลขมา 26 แต่ละคนนั่งลุ้นรางวัล และสมมุติว่าถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ 1 เราจะจัดสรรเงินเหล่านั้นอย่างไรดี นั่งลุ้นจนกระทั่งรางวัลเลขล่างออก 62 เฮกันลั่น เพราะเสียดายว่าทำไมไม่ซื้อ 62 ไปซื้อ 26 รอลุ้นจนถึงเลขบน ออก 64 อีก หงายหลังกันไปตามๆ กัน เป็นบรรยากาศสนุกสนานเฮฮาดีเหมือนกันครับไม่เคยลุ้นล็อตเตอรี่ขนาดนี้มาก่อน
เรากลับมาถึงโรงเรียนเวลาประมาณ 4-5 โมงเย็น ของวันที่ 16 ธันวาคม 2561 อย่างปลอดภัย รวมระยะเวลา 2 วัน 1 คืน ขอบคุณคนขับรถ ขอบคุณคนจัดทริปนี้ ขอบคุณผู้เกษียณและขอให้ท่านเดินทางสู่เส้นชัยอย่างเต็มภาคภูมิ ขอบคุณการเดินทางครั้งนี้ที่ทำให้เราได้ไปร่วมสุขด้วยกัน มันจะเป็นความทรงจำครั้งหนึ่งของผม ในชื่อ “สายลมหนาว สาวงาม ดอกไม้นานาพรรณ คิดถึงกันและกันตลอดไป“
Discover more from KruJakkrapong 's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.