6 ตุลาคม 2557
ผมออกเดินทางจากขอนแก่น ส่วนคณะทัวร์ออกเดินทางจากมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี เวลาประมาณตี 4 มานั่งรอรถ เกือบตี 5 รถยังไม่มา แล้วเหตุการณ์แรกที่แสนประทับใจคือรถวิ่งผ่านเราไปตอนไหนไม่รู้ ไปจอดอยู่ที่ บขส.ปรับอากาศ ทำไมรถถึงวิ่งผ่านเราไป? หรือว่าทุกคนนอนหลับกันหมดแล้วลืมบอกคนรถ แต่ก็ยังดีที่มีคนบอกรถกลับมารับได้ ไม่อย่างงั้นก็คงกลายเป็นบุคคลที่ถูกลืมแน่เรา…*_*
หลังจากขึ้นรถแล้ว สิ่งอำนวยความสะดวกของรถชาญทัวร์ นั้นมีมากมาย แต่ละเบาะสามารถปรับนวดได้ ที่สำคัญแต่ละเบาะยังมีจอทีวีสามารถดูทีวีช่องต่างๆ และยังมีหนังหลายเรื่องให้เลือกดูได้ตามอัธยาศัย เป็นครั้งแรกที่ได้นั่งรถหรูขนาดนี้ เป็นนิสัยของคนไทยครับถ้าเจอของที่ไม่เคยเจอ มักจะตื่นเต้นและต้องหาวิธีเล่นให้ได้ สุดท้ายก็ได้ดูหนังสมใจไปหลายเรื่องครับ
พวกเราไปถึงสนามบินดอนเมืองประมาณ เกือบเที่ยงวัน ก็ได้รับข่าวร้ายว่า ต้องเลื่อนเวลาบินออกไปอีก จาก 19.00 น. เป็น 21.00 น. คณะทัวร์จึงจำเป็นต้องนั่งรอ… นอนรอ… กินข้าวรอ จนกระทั่งถึงเวลา 21.00 น. การขึ้นเครื่องบินครั้งนี้เป็นครั้งแรกสำหรับผม มันช่างน่าตื่นเต้น เครื่องบินลำใหญ่มาก เราไปกับสายการบิน Air Asia X แต่นั่งแล้วก็ไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ เพราะเบาะนั่งแคบมาก ขณะตอนเครื่องทยานขึ้นสู่ท้องฟ้า รู้สึกหูอื้อไปหมด พยายามกลืนน้ำลายตัวเองก็ช่วยได้ สุดท้ายก็นอนหลับไป ใช้เวลาอยู่บนท้องฟ้าประมาณ 5 ชั่วโมงคงถึงญี่ปุ่น
7 ตุลาคม 2557
เราเดินทางมาถึงเมืองโอซาก้า เวลาประมาณ 7.00 น.(เวลาที่นี่เร็วกว่าเมืองไทย 2 ชั่วโมง) อากาศเย็นสบายดี ตอนเช้ากินข้าวที่โรงแรม AGORA REGENCY SAKAI HOTEL เราได้รู้จักกับไกด์นำทางสองคน ที่จะทำหน้าที่นำเที่ยวในครั้งนี้ ช่วงเช้านี้เราจะได้ไปวัดโทไดจิ ซึ่งเป็นวัดที่สำคัญในเมืองนารา ภายในวัดมีหลวงพ่อโตไดบุสสึ สร้างด้วยทองสัมริดที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก และบริเวณวัดยังมีกวางน่ารักมากมายที่เชื่องมากเราพยายามไม่ให้อาหารพวกมัน เพราะไกด์แนะนำว่า ถ้าเรามีอาหารมันจะยื้อแย่งอาหารจากเราจนกว่าจะหมด
หลังจากพักรับประทานอาหารกลางวันแล้ว เราก็เดินทางไปเที่ยวปราสาทโอซาก้า ซึ่งเป็นปราสาทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นสร้างโดยโชกุน โตโยมิ ฮิเดโยชิ ตัวปราสาทแบ่งเป็น 8 ชั้น แต่ภายนอกมองเห็นเป็น 7 ชั้น โอบล้อมด้วยกำแพงหินแกรนิต สร้างได้อย่างประณีตสวยงามมาก เป็นที่น่าทึ่งว่าสมัยเก่าเขาใช้อะไรตัดหิน ไกด์บอกว่าเขาใช้น้ำตัดก็น่าสนใจว่าคงต้องใช้ความอดทนและคนจำนวนมากที่จะมาช่วยกันตัดหินให้ได้ขนาดนั้น
ตอนเย็นเราแวะซื้อของฝาก ผมได้ชาเขียว kitkat มา 2 กล่อง รสชาติก็ใช้ได้นะครับอร่อยดี และข้าวเย็นมื้อนี้เราไปกิน shabu ที่ชั้น 7 ของภัตตาคารแห่งหนึ่ง อร่อยครับแต่ต้องใช้น้ำจิ้มของเราเองเพราะที่โน่นเขากินอาหารรสชาติจืด ไกด์รู้ว่าเราเป็นคนไทยชอบอาหารรสจัด ก็เลยนำน้ำจิ้มสุกี้ไปให้ ดีมากๆครับ ขากลับเรานั่งแท็กซี่กลับ น่าแปลกว่าคนขับแท็กซี่ส่วนใหญ่เป็นคนแก่ และรถสะอาดมาก คล้ายกับรถเบ็นซ์รุ่นเก่าหน่อย แต่เครื่องยังแรงมาก กระจกใสมาก ถามไกด์ว่าทำไมญี่ปุ่นมีแต่คนแก่ขับแท็กซี่ ไกด์บอกว่า คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่ที่นี่ทำงานในออฟฟิศ ก็เลยเหลือแต่คนแก่มาขับแท็กซี่ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคนในเมืองนี้เขาชอบทำงานตั้งแต่เด็กยันแก่เลยครับ
8 ตุลาคม 2557
วันนี้ผมตื่นนอน 8.00 น. (สายมาก) กินข้าวเช้าที่โรงแรม APA Hotel ออกเดินทางไปพิพิธภัณฑ์ที่สร้างเครื่องมือสำหรับการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทำให้เห็นเบื้องหลังความก้าวหน้าของประเทศญี่ปุ่นในอีกมุมมอง ในแต่เมืองจะมีศูนย์กลางการทำสื่อการสอนโดยเฉพาะ ทำให้เขาสามารถผลิตสื่อที่ไม่ต้องใช้ต้นทุนมาก เพราะมีเครื่องมือให้ครบหมด ไม่ว่าจะเป็นเครื่องมือในการตัดไม้ ตัดเหล็ก โรงกลึง เลื่อย ฯลฯ เขามีให้สำหรับครูที่ต้องการผลิตสื่อ และยังแจกสื่อที่ผลิตได้ให้กับโรงเรียนต่างๆฟรีอีกด้วย วันนั้นผมได้สื่อชิ้นหนึ่งเป็นแผ่นแยกแสงขาว ซึ่งเป็นสื่อการสอนฟิสิกส์ที่น่าตื่นเต้น หลังจากนั้นเราก็เข้าชมพิพิธภัณฑ์ ที่เขาจัดไว้ให้นักเรียนตัวเล็กๆ เข้าชม มีทั้งส่วนที่เป็นหอดูดาว แกะรอยฟอสซิลไดโนเสาร์ และอื่นๆ อีกมากมาย
หลังจากนั้นเราก็ไปชมวัดคิโยมิซึ หรือ วัดน้ำใส วัดที่สร้างด้วยท่อนซุงขนาดมหึมา ตั้งอยู่บนยอดเขาฮิงาชิมา เป็นวิหารไม้ที่สร้างด้วยฝีมือมนุษย์โดยไม่ใช้ตะปูสักตัว และดื่มน้ำศักดิ์สิทธิ์ 3 สายที่ไหลมาจากเทือกเขาเพื่อขอพรให้เฉลียวฉลาด ร่ำรวย อายุยืนนาน วัดนี้ได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโก้อีกด้วย ขาออกได้เดินซื้อของบนถนนกาน้ำชา ซึ่งมีขนมมากมายให้เลือกชิมและซื้อพวกเราชาวคณิตจึงรวมเงินกันซื้อของฝากให้อาจารย์จากที่นี่ครับ
9 ตุลาคม 2557
วันนี้เราพักอยู่ที่ APA Hotel เช่นเดิม หลังจากกินข้าวแล้ว เราต้องนั่งรถไฟฟ้าไปดูการสอนที่โรงเรียนสาธิตแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยเกียวโต คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่เดินทางด้วยรถไฟฟ้า บริเวณสถานีรถไฟฟ้ามีชาวญี่ปุ่นมากมาย อยู่ในอากัปกิริยาเร่งรีบเหลือเกิน นี่มันคือนิสัยของคนญี่ปุ่นที่เน้นเวลาเป็นสำคัญ และชอบการเดินมากกว่าขับรถไปทำงาน วันนี้ที่โรงเรียนสาธิตเราได้รับการอนุเคราะห์จากอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกียวโตท่านหนึ่ง ท่านใจดีมากและพูดภาษาไทยได้ชัดมาก พาเราเดินชมบริเวณรอบๆ และพาเข้าไปโรงเรียนสาธิตแห่งนั้น โรงเรียนค่อนข้างสงบมากแทบไม่มีเสียง วันนี้เราได้เข้าชมการสอนในห้องเรียนแบบสดๆกันเลยทีเดียว เรียกได้ว่าเข้าไปเรียนด้วยกันกับนักเรียนเลย การสอนคณิตศาสตร์ในวันนี้ ครูผู้สอนซึ่งอายุไม่มากนัก ทำให้ประหม่าอยู่พอสมควรกับคนดูเกือบ 20 คน วันนี้การสอนเป็นเรื่อง Exponential ครูมีสื่อการสอนเป็นโปรแกรมที่สามารถวาดกราฟได้ ทำให้นักเรียนดูกราฟของฟังก์ชันเอ็กซ์โปได้ง่ายขึ้น ผมเข้าใจว่านักเรียนส่วนใหญ่น่าจะมีผลการเรียนค่อนข้างดี ทำให้การเรียนการสอนราบรื่นไปได้ แต่น้อยครั้งที่ครูจะมีปฏิสัมพันธ์กับนักเรียน มีนักเรียนบางคนอาจจะเกร็งที่มีคนมาดู ทำให้ตั้งใจผิดปกติ แต่ก็มีนักเรียนบางคนถึงกับหลับในห้องก็มี การสอนดำเนินไปประมาณ 1 ชั่วโมงก็จบเรื่อง Expo หลังจากนั้นเราเดินทางไปกินข้าวเที่ยงในมหาวิทยาลัยเกียวโต ซึ่งมีชื่อเสียงในด้านการผลิตครู ในนั้นมีนักเรียนไทยแลกเปลี่ยนหลายคนมาคอยต้อนรับเรา ทำให้บรรยากาศอบอุ่นเหลือเกิน
10 ตุลาคม 2557
วันนี้เป็นวันสุดท้าย เรานั่งรถมุ่งสู่เมืองเกียวโตเข้าชม ปราสาททองคินคะคุจิ เป็นสมบัติของข้าราชสำนักไชอนจิ คินทิเนะ เป็นบ้านพักที่ตั้งอยู่กลางน้ำมีความงดงามมาก ปราสาทสีทองสะท้อนลงบนผืนน้ำ หลังจากนั้นเราเดินทางไปสักการะ พระแม่โพสภ และเทพสุนัขจิ้งจอก และได้ชม ซุ้มประตูเสาโทริอิ ซุ้มประตูสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ของศาลเจ้ามีหลายร้อยต้นทอดยาวตามไหล่ทางขึ้นไปบนเขา เราเดินขึ้นไปเรื่อยๆ จนพบว่า หนทางยังอีกยาวไกลมาก จึงตัดสินใจเดินกลับลงมา แล้วก็เดินทางไปช้อปปิ้งที่ Rinku Outlet ซึ่งเป็นแหล่งช้อปปิ้งที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่นใกล้สนามบินคันไซ หลายคนชอบสินค้าแบรนด์เนมหลากหลายยี่ห้อ แต่สำหรับผม ไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับมาเลย เพราะไม่รู้จักเสื้อผ้ายี่ห้อพวกนั้นเลย หลังจากนั้นก็เดินทางไปกินข้าวที่ห้างอิออน ผมได้ขนมชาเขียวคิดแคทอีกเช่นเดิมแต่ว่าได้จำนวน 1 กล่องใหญ่ ราคาประมาณสองพันกว่าบาท และเพื่อนๆชาวคณิตด้วยกัน ก็ได้ขนมชาเขียวเช่นกัน ตอนแรกคิดว่ามันมากไปไหมคนละกล่องใหญ่ๆ แต่มารู้ทีหลังว่า แค่นั้นไม่พอของฝากครับ เพราะอร่อยมากเวลาแช่ตู้เย็นเอาไว้ที่โรงเรียนแล้วค่อยๆหยิบกินกันคนละชิ้นสองชิ้น เป็นของฝากที่คุ้มค่ามากสำหรับผม ซึ่งหลายคนก็ไม่ได้กินด้วยซ้ำ หลังจากนั้นเดินทางไปสนามบินเวลาประมาณ 3 ทุ่มจัดแจงของที่ซื้อมาใส่กระเป๋าเดินทาง บางคนก็ช่วยกันยัดจนเต็ม ใครยังไม่เกินโควต้าก็ช่วยเหลือกัน สุดท้ายก็ได้รับข่าวร้ายว่าการเช็คอินผิดพลาด มีพนักงานจำนวนน้อย และเครื่องคอมก็เจ๋ง เอาหละสิทีนี้ หลายคนก็เริ่มบ่นเกี่ยวกับสายการบิน Air Asia แล้วสุดท้ายพนักงานเรียกเช็คแบบทีละคนแบบแมนวลเลยทีเดียว สุดท้ายเราก็ได้ขึ้นเครื่องเวลาเลยเที่ยงคืนไปแล้วหลายชั่วโมง เครื่องไม่ยอมออกสักที เพราะว่าผู้โดยสารยังถูกเช็คไม่หมด ตอนนั้นทุกคนอ่อนเพลียเหนื่อยล้ามากหลายคนหลับไปรวมถึงผมด้วย กลับมาถึงไทยเวลาประมาณ 3 โมงเช้า แล้วก็นั่งรถชาญทัวร์กลับขอนแก่นโดยสวัสดิภาพ
^_^ ขอบคุณ สสวท. และมหาวิทยาลัยราชภัฏอุดรธานี ที่ให้ประสบการณ์ในครั้งนี้
^_^ ขอบคุณอาจารย์ที่ติดตามดูแลพวกเราเป็นอย่างดี
^_^ ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ดูแลกันและกันเป็นอย่างดี
^_^ ขอบคุณภาพสวยๆ จากกล้องครูชาญชัย
Discover more from KruJakkrapong 's Blog
Subscribe to get the latest posts sent to your email.
One Comment